สมาคมผู้ดูแลเว็บฯ จัดประชุมใหญ่ประจำปี 2568 ชูประเด็น ‘เว็บปลอดภัย’ ผนึกกำลังผู้เชี่ยวชาญรับมือภัยไซเบอร์

กรุงเทพฯ, 13 กันยายน 2568 – สมาคมผู้ดูแลเว็บไซต์และสื่อออนไลน์ไทย มูลนิธิสารสนเทศเครือข่ายไทย และ สมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ ได้จัดการประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2568 อย่างเป็นทางการและประสบความสำเร็จอย่างงดงาม ณ SCB Next Tech ชั้น 4 ศูนย์การค้าสยามพารากอน ท่ามกลางบรรยากาศที่อบอุ่นและคึกคักของสมาชิกสมาคมฯ ผู้ประกอบวิชาชีพในแวดวงดิจิทัล และสื่อมวลชนที่เข้าร่วมงานอย่างคับคั่ง โดยนอกเหนือจากวาระการประชุมเพื่อสรุปผลการดำเนินงานและวางรากฐานทิศทางของสมาคมฯ ในปีต่อไปแล้ว ไฮไลท์สำคัญของงานในครั้งนี้คือการจัดเวทีเสวนาพิเศษภายใต้หัวข้อ “Thailand Safe Web Forum” ซึ่งเป็นการผนึกกำลังครั้งสำคัญของผู้เชี่ยวชาญจากหลากหลายภาคส่วน เพื่อร่วมกันวิเคราะห์เจาะลึกถึงสถานการณ์ภัยคุกคามทางไซเบอร์ และแสวงหาแนวทางสร้างสรรค์ระบบนิเวศอินเทอร์เน็ตที่ปลอดภัยและน่าเชื่อถือสำหรับสังคมไทย
การจัดงานในครั้งนี้นับเป็นการตอกย้ำภารกิจและบทบาทของสมาคมฯ ในฐานะองค์กรกลางของผู้ประกอบวิชาชีพ ที่ไม่เพียงมุ่งเน้นการพัฒนาทักษะและความรู้ความสามารถของสมาชิก แต่ยังมีความรับผิดชอบต่อสังคมในวงกว้าง โดยเล็งเห็นว่าปัญหาความปลอดภัยบนโลกออนไลน์ได้กลายเป็นวาระเร่งด่วนที่ส่งผลกระทบต่อทุกมิติ ตั้งแต่ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ไปจนถึงเสถียรภาพและความน่าเชื่อถือของระบบเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศโดยรวม
คุณเมธปริยา คำนวนวุฒิ นายกสมาคมผู้ดูแลเว็บไซต์และสื่อออนไลน์ไทย ได้กล่าวเปิดการประชุมและเวทีเสวนาอย่างเป็นกันเองว่า “การประชุมใหญ่สามัญประจำปีของเราในครั้งนี้ เป็นมากกว่าวาระการประชุมตามปกติ แต่คือการแสดงจุดยืนและความรับผิดชอบของพวกเราในฐานะคนทำงานด่านหน้าของวงการดิจิทัลไทย เราทุกคนในที่นี้คือผู้สร้าง คือโปรแกรมเมอร์ คือนักการตลาด คือผู้ผลิตคอนเทนต์ ที่มีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนภูมิทัศน์ออนไลน์ของประเทศ เราต่างตระหนักดีว่าภัยคุกคามออนไลน์ที่ทวีความรุนแรงขึ้นทุกวัน ไม่ใช่แค่ปัญหาทางเทคนิคที่แก้ไขได้ด้วยโค้ดดิ้ง แต่เป็นความท้าทายต่อ ‘ความไว้วางใจ’ ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ประเมินค่าไม่ได้และเป็นหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล สมาคมฯ จึงมีความตั้งใจอย่างยิ่งที่จะจัดเวทีเสวนา ‘Thailand Safe Web Forum’ ขึ้น เพื่อใช้โอกาสนี้เป็นพื้นที่กลางในการผนึกกำลัง แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ และส่งต่อแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดไปยังสมาชิกและสาธารณชนในวงกว้าง เราเชื่อมั่นว่าการสร้างเว็บที่ปลอดภัย หรือ ‘Safe Web’ จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อทุกภาคส่วนร่วมมือกัน เพื่อสร้างสรรค์อินเทอร์เน็ตให้เป็นพื้นที่ที่ปลอดภัยและสร้างสรรค์สำหรับทุกคนอย่างแท้จริง”
เวทีเสวนา “Thailand Safe Web Forum” ได้รับเกียรติจากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน ซึ่งเป็นตัวแทนจาก 3 เสาหลักที่ค้ำจุนความปลอดภัยของโลกไซเบอร์ ได้แก่ ดร.เพ็ญศรี อรุณวัฒนามงคล ผู้อำนวยการมูลนิธิศูนย์สารสนเทศเครือข่ายไทย (THNIC) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ดูแลโครงสร้างพื้นฐานด้านโดเมนเนมของประเทศ, คุณนันทสิทธิ์ นิติเยาว์ นายกสมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ ซึ่งเป็นตัวแทนของภาคสื่อสารมวลชนผู้ผลิตและเผยแพร่ข้อมูล และ พ.ต.ต.พากฤต กฤตยพงษ์ จากกองบังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 2 (บช.สอท.) หรือตำรวจไซเบอร์ ซึ่งเป็นหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายโดยตรง
เจาะลึกกลลวงยุคดิจิทัล: เมื่อ “จิตวิทยา” เป็นอาวุธร้ายกว่าการแฮ็ก
หนึ่งในประเด็นที่สำคัญที่สุดซึ่งถูกหยิบยกขึ้นมาในเวทีเสวนา คือการเปลี่ยนแปลงของรูปแบบการโจมตีทางไซเบอร์ พ.ต.ต.พากฤต กฤตยพงษ์ ได้ให้ภาพที่ชัดเจนว่า อาชญากรในยุคปัจจุบันพึ่งพาการโจมตีทางเทคนิคหรือการแฮ็กระบบที่ซับซ้อนน้อยลง แต่หันมาใช้เครื่องมือที่ทรงพลังและแนบเนียนกว่า นั่นคือ “วิศวกรรมสังคม (Social Engineering)” ซึ่งเป็นการใช้หลักจิตวิทยาเพื่อหลอกล่อให้เหยื่อเกิดความไว้วางใจและยอมเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวหรือโอนทรัพย์สินให้ด้วยตนเอง อาชญากรยุคใหม่ไม่ได้ต่อสู้กับไฟร์วอลล์ แต่กำลังต่อสู้กับวิจารณญาณของมนุษย์
พ.ต.ต.พากฤต ขยายความว่า กลไกทางจิตวิทยาที่มิจฉาชีพมักนำมาใช้จะวนเวียนอยู่กับอารมณ์พื้นฐาน 3 ประการ ได้แก่ 1. ความโลภ: ผ่านการสร้างแพลตฟอร์มหลอกลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงเกินจริงในระยะเวลาอันสั้น ดึงดูดให้ผู้คนนำเงินมาลงทุนด้วยความหวังว่าจะร่ำรวยอย่างรวดเร็ว 2. ความกลัว: ผ่านการส่งข้อความ SMS หรืออีเมลปลอมที่อ้างว่าเป็นหน่วยงานภาครัฐหรือสถาบันการเงิน แจ้งว่าบัญชีของเหยื่อมีปัญหา, กำลังจะถูกอายัด, หรือพัวพันกับคดีร้ายแรง เพื่อสร้างความตื่นตระหนกและบีบให้เหยื่อรีบติดต่อกลับและทำตามคำสั่งในทันที 3. ความหลง: ผ่านการสร้างตัวตนปลอมบนโซเชียลมีเดีย (Romance Scam) เข้ามาสร้างความสัมพันธ์เชิงชู้สาว เมื่อเหยื่อหลงรักและไว้วางใจ ก็จะเริ่มชักชวนให้ร่วมลงทุนหรือขอความช่วยเหลือทางการเงิน กลยุทธ์เหล่านี้ล้วนประสบความสำเร็จเพราะมันไม่ได้โจมตีที่เทคโนโลยี แต่โจมตีที่จุดอ่อนในใจของมนุษย์โดยตรง ดังนั้น แนวทางการป้องกันตนเองที่สำคัญที่สุดที่ พ.ต.ต.พากฤต ได้ฝากไว้คือคาถา 3 ข้อที่ทุกคนต้องท่องให้ขึ้นใจเมื่ออยู่บนโลกออนไลน์ นั่นคือ “ไม่โลภ ไม่กลัว ไม่หลง”
ระบบนิเวศข้อมูลที่ปนเปื้อน: เมื่อ “ข่าวปลอม” ปูทางสู่ “เว็บปลอม”
ในขณะเดียวกัน คุณนันทสิทธิ์ นิติเยาว์ ได้ชี้ให้เห็นถึงความเชื่อมโยงที่อันตรายระหว่างข้อมูลข่าวสารที่บิดเบือนกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ โดยระบุว่า ปัจจุบันมีการเกิดขึ้นของ “ข่าวปลอม” และ “เพจปลอม” ที่สร้างขึ้นเลียนแบบสื่อกระแสหลักเป็นจำนวนมาก มีเป้าหมายเพื่อสร้างความสับสนในสังคม, สร้างความตื่นตระหนก, หรือที่ร้ายแรงที่สุดคือใช้เป็นเครื่องมือในการนำพาผู้คนไปสู่เว็บไซต์หลอกลวง (Phishing) ยกตัวอย่างเช่น การสร้างข่าวปลอมเกี่ยวกับโครงการแจกเงินจากภาครัฐ พร้อมแนบลิงก์ปลอมเพื่อให้ประชาชนกรอกข้อมูลส่วนตัวเพื่อรับสิทธิ์ เป็นต้น
คุณนันทสิทธิ์ย้ำว่า ภัยคุกคามลักษณะนี้ส่งผลกระทบสองทาง คือหนึ่ง, มันทำลายความน่าเชื่อถือของสถาบันสื่อโดยรวม ทำให้ประชาชนไม่สามารถแยกแยะได้ว่าข้อมูลใดจริงหรือเท็จ และสอง, มันบั่นทอนภูมิต้านทานของสังคม ทำให้ผู้คนตกเป็นเหยื่อของกลโกงได้ง่ายขึ้น ดังนั้น บทบาทของสื่อในปัจจุบันจึงต้องทำงานเชิงรุก ทั้งในแง่ของการตรวจสอบข้อเท็จจริง (Fact-checking) และการให้ความรู้แก่ประชาชนอย่างสม่ำเสมอ พร้อมกันนี้ คุณนันทสิทธิ์ได้เสนอแนวคิดให้ผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตปรับพฤติกรรมสู่ “การใช้ชีวิตดิจิทัลแบบ Slow Down” คือไม่รีบร้อนที่จะเชื่อ, คลิก, หรือแชร์ข้อมูลที่ได้รับมา ควรใช้เวลาในการตรวจสอบความถูกต้องจากแหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือหลายๆ แห่งก่อนเสมอ ซึ่งจะเป็นการช่วยตัดวงจรการแพร่กระจายของข้อมูลเท็จและป้องกันตนเองไปในตัว
ทางออกเชิงโครงสร้าง: ยกระดับความน่าเชื่อถือด้วยมาตรฐาน “โดเมน .th”
ท่ามกลางปัญหาที่รุมเร้า ดร.เพ็ญศรี อรุณวัฒนามงคล จาก THNIC ได้นำเสนอทางออกที่ยั่งยืนและเป็นรูปธรรมในเชิงโครงสร้าง นั่นคือการให้ความสำคัญกับ “โดเมนเนม” ซึ่งเปรียบเสมือนป้ายทะเบียนหรือที่อยู่ของเว็บไซต์ ดร.เพ็ญศรี ชี้ให้เห็นว่า เว็บไซต์หลอกลวงส่วนใหญ่มักจดทะเบียนโดเมนเนมที่ไม่มีการตรวจสอบตัวตนอย่างเข้มงวด เช่น .com หรือโดเมนเนมราคาถูกอื่นๆ ซึ่งทำให้มิจฉาชีพสามารถสร้างและทิ้งเว็บไซต์เหล่านี้ได้อย่างง่ายดายโดยไม่ทิ้งร่องรอย
ในทางกลับกัน โดเมนเนมภายใต้การกำกับดูแลของประเทศไทยอย่าง .th โดยเฉพาะ .co.th สำหรับภาคธุรกิจ และ .go.th สำหรับหน่วยงานภาครัฐ มีกระบวนการจดทะเบียนที่กำหนดให้ผู้ขอต้องแสดงเอกสารหลักฐานยืนยันตัวตนที่ชัดเจน เช่น หนังสือรับรองบริษัท หรือเอกสารจัดตั้งหน่วยงาน ทำให้โดเมนเนมเหล่านี้มีความน่าเชื่อถือสูงกว่าอย่างมีนัยสำคัญ การเลือกใช้โดเมน .th จึงเปรียบเสมือนการติด “ตราสัญลักษณ์แห่งความน่าเชื่อถือ” ให้กับเว็บไซต์ ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถคัดกรองและตัดสินใจได้อย่างมั่นใจมากขึ้นในเบื้องต้น
ดร.เพ็ญศรี ได้เรียกร้องผ่านเวทีเสวนาของสมาคมฯ ไปยังทุกภาคส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หน่วยงานภาครัฐ ให้หันมาใช้โดเมน .go.th อย่างพร้อมเพรียงและเป็นมาตรฐานเดียวกัน เพื่อเป็นต้นแบบและสร้างบรรทัดฐานความน่าเชื่อถือให้กับภูมิทัศน์ดิจิทัลของประเทศ หากภาครัฐซึ่งเป็นผู้ให้บริการสาธารณะและถือครองข้อมูลสำคัญของประชาชน แสดงให้เห็นถึงความใส่ใจในมาตรฐานความปลอดภัยสูงสุด ก็จะสามารถสร้างแรงกระเพื่อมให้ภาคเอกชนและประชาชนทั่วไปตระหนักถึงความสำคัญของเรื่องนี้ตามไปด้วย
บทสรุปจากการเสวนาครั้งนี้ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า การสร้าง “Safe Web” ไม่สามารถเกิดขึ้นได้จากความพยายามของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่ต้องอาศัยการทำงานร่วมกันอย่างบูรณาการ ทั้งการบังคับใช้กฎหมายที่เฉียบขาดของตำรวจไซเบอร์, การให้ความรู้และตรวจสอบข้อมูลของภาคสื่อ, และการวางโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีที่แข็งแกร่งและน่าเชื่อถือ ซึ่งสมาคมผู้ดูแลเว็บไซต์และสื่อออนไลน์ไทยมีความภาคภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างพื้นที่แห่งความร่วมมือนี้ให้เกิดขึ้น และพร้อมที่จะเดินหน้าสานต่อภารกิจในการส่งเสริมและพัฒนาระบบนิเวศดิจิทัลของไทยให้เติบโตอย่างมั่นคงและปลอดภัยต่อไปในอนาคต
เกี่ยวกับสมาคมผู้ดูแลเว็บไซต์และสื่อออนไลน์ไทย (TWA)
สมาคมผู้ดูแลเว็บไซต์และสื่อออนไลน์ไทย (Thai Webmaster and Online Media Association) ก่อตั้งขึ้นโดยการรวมตัวของผู้ประกอบวิชาชีพด้านเว็บไซต์และสื่อออนไลน์ มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นศูนย์กลางในการแลกเปลี่ยนความรู้ ส่งเสริมจริยธรรม และยกระดับมาตรฐานของผู้ประกอบวิชาชีพ เพื่อร่วมกันพัฒนาอุตสาหกรรมอินเทอร์เน็ตของประเทศไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน

